เมนู

9. อภยาเถรีคาถา


[428] ดูก่อนอภยา ปุถุชนข้องอยู่ในกายใด กายนั้น
มีสภาพแตกดับ เรามีสติรู้สึกตัว จักทอดทิ้งกายนี้
เราอันความทุกข์เป็นอันมากถูกต้องแล้ว ยินดีแล้วใน
ความไม่ประมาท บรรลุความสิ้นตัณหาแล้ว ได้ปฏิบัติ
คำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว.

จบ อภยาเถรีคาถา

9. อรรถกถาอภยาเถรีคาถา


คาถาว่า อภเย ภิทุโร กาโย เป็นต้น เป็นคาถาของพระเถรีชื่อ
อภยา เป็นสหายของพระอภัยมาตุเถรี.
แม้พระเถรีชื่ออภยานี้ ก็ได้สร้างสมบุญบารมีไว้ในพระพุทธเจ้าองค์
ก่อน ๆ สั่งสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานในภพนั้น ๆ ในกาลแห่ง
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าสิขี เกิดในตระกูลกษัตริย์มหาศาล รู้ความแล้ว
ได้เป็นอัครมเหสีของพระเจ้าอรุณราช วันหนึ่งพระเจ้าอรุณราชได้ประทาน
ดอกอุบลหอม 7 ดอกแก่เธอ เธอรับดอกอุบลเหล่านั้นแล้วนั่งคิดว่า เรา
ประดับ ดอกอุบลเหล่านี้จะมีประโยชน์อะไร อย่ากระนั้นเลย เราจักเอาดอก
อุบลเหล่านี้บูชาพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าพระราชนิ-
เวศน์ในเวลาภิกขาจาร เธอเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วมีใจเลื่อมใส ต้อนรับ
บูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยดอกไม้เหล่านั้น แล้วถวายบังคมด้วยเบญจางค
ประดิษฐ์ ด้วยบุญกรรมนั้น เธอท่องเที่ยวอยู่ในเทวโลกและมนุษยโลก ใน

พุทธุปปาทกาลนี้ เกิดในเรือนแห่งตระกูลในกรุงอุชเชนี รู้ความแล้ว เป็น
สหายของพระอภัยมาตุเถรี เมื่อพระอภัยมาตุเถรีบวช เธอเองก็บวชด้วยความ
สิเนหาพระเถรีนั้น อยู่ในกรุงราชคฤห์กับพระเถรีนั้น วันหนึ่งได้ไปป่าสีตวัน
เพื่อดูอสุภ พระศาสดาประทับนั่งในพระคันธกุฎินั้นเอง ทรงทำอารมณ์ที่เธอ
เคยประสบมาไว้ต่อหน้า ประกาศความเป็นศพขึ้นพองเป็นต้นแก่เธอ เธอ
เห็นดังนั้น ยืนสลดใจอยู่ พระศาสดาทรงแผ่รัศมีแสดงพระองค์เหมือนประทับ
นั่งอยู่ต่อหน้า ได้ตรัสพระคาถาเหล่านั้นว่า
ดูก่อนอภยา ปุถุชนข้องอยู่ในกายใด กาย
นั้น มีสภาพแตกดับ เรามีสติรู้สึกตัวจักทอดทิ้งร่างกาย
นี้ เราอันความทุกข์เป็นอันมากถูกต้องแล้ว ยินดีแล้ว
ในความไม่ประมาท บรรลุความสิ้นตัณหาแล้ว ได้
ปฏิบัติคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว.

เวลาจบคาถา พระเถรีนั้นได้บรรลุพระอรหัต เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวไว้
ในอปทานว่า1
ในพระนครอรุณวดีมีกษัตริย์พระนามว่าอรุณ-
ราช ข้าพเจ้าเป็นมเหสีของท้าวเธอ ข้าพเจ้าร้อยพวง-
มาลัยอยู่ ได้ถือดอกอุบลมีกลิ่นหอมเหมือนทิพย์ นั่ง
อยู่ในปราสาทอันประเสริฐ คิดขึ้นในขณะนั้นเอง
อย่างนี้ว่า เราจะได้ประโยชน์อะไรที่เอาพวงมาลัย
เหล่านี้ประดับบนศีรษะของเรา เราเอาบูชาในพระ
ญาณของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุดจะประเสริฐกว่า
คนทั้งหลายเขาพากันบูชานับถือพระสัมพุทธเจ้า เรา

1. ขุ. 33/ข้อ 148 สัตตอุปปลมาลิกาเถรีอปทาน.

จะนั่งใกล้ประตู จักบูชาพระมหามุนีสัมพุทธเจ้าใน
เวลาที่เสด็จมา พระพิชิตมารงามดังต้นรกฟ้า หรือดัง
พญาไกรสรมฤคราช พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์เสด็จมาตาม
ถนน ข้าพเจ้าเห็นพระรัศมีของพระพุทธองค์แล้ว ร่า
เริง สลดใจ ยังไม่ทันถึงประตู ก็บูชาพระพุทธเจ้าผู้
ประเสริฐสุด ข้าพเจ้าทำดอกอุบลบานเต็มที่ 7 ดอก
เป็นที่กันแดดในอัมพร ดอกอุบลเหล่านั้นกันแดดอยู่
เหนือพระเศียรของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้ามีจิตร่าเริง
ดีใจ ปลื้มใจ ประคองอัญชลี ทำจิตให้เลื่อมใสใน
กาลนั้น ได้ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เหมือนศีรษะของ
ข้าพเจ้า เขากั้นเศวตฉัตรขนาดใหญ่ กลิ่นทิพย์หอม
ฟุ้งไป นี้เป็นผลแห่งดอกอุบล 7 ดอก บางครั้งเมื่อ
หมู่ญาตินำข้าพเจ้าไป ครั้งนั้นเศวตฉัตรขนาดใหญ่ก็
กันแดดไว้ตลอดไปถึงบริษัทของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้
เป็นมเหสีของเทวราช 70 องค์ เป็นอิสระในที่ทั้ง
ปวง ท่องเที่ยวไปในภพน้อยใหญ่ ได้เป็นมเหสีของ
พระเจ้าจักรพรรดิ 63 องค์ ชนทั้งปวงประพฤติตาม
ข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามีวาจาน่าเชื่อถือ ผิวพรรณของข้าพ-
เจ้าเหมือนดอกอุบล และกลิ่นหอมฟุ้งไป ข้าพเจ้าไม่
รู้จักทุคติ นี้เป็นผลแห่งการบูชาพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้า
ฉลาดในอิทธิบาท ยินดีในการเจริญโพชฌงค์ บรรลุ
อภิญญาบารมี นี้เป็นผลแห่งการบูชาพระพุทธเจ้า
ข้าพเจ้าฉลาดในสติปัฎฐาน มีสมาธิฌานเป็นโคจร

ขวนขวายสัมมัปปธาน นี้เป็นผลแห่งการบูชาพระพุทธ
เจ้า ความเพียรของข้าพเจ้านำเอาธุระน้อยใหญ่ไป
นำเอาธรรมที่เป็นแดนเกษมจากโยคะมาให้ ข้าพเจ้ามี
อาสวะทั้งปวงหมดสิ้นแล้ว บัดนี้ภพใหม่ไม่มี ในกัป
ที่ 31 แค้ภัทรกัปนี้ ข้าพเจ้าเอาดอกไม้บูชา จึงไม่รู้จัก
ทุคติ นี้เป็นผลแห่งการบูชาพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าเผา
กิเลสแล้ว ฯลฯ ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติตามคำสอนของ
พระพุทธเจ้าแล้ว.

ครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว พระอภยาเถรีได้เปลี่ยนคาถาเหล่านั้นแหละกล่าว
เป็นอุทาน.
บรรดาบทเหล่านั้น พระอภยาเถรีเรียกตนเองด้วยบทว่า อภเย.
บทว่า ภิทุโร แปลว่า มีสภาพแตกทำลาย ความว่า ไม่เที่ยง. บทว่า
ยตฺถ สตฺตา ปุถุชฺชนา ความว่า อันธปุถุชนเหล่านี้ ข้อง ติด คือติดอยู่
แล้วในกายใด ที่มีเวลาแตกทำลายเป็นปกติ เพราะสภาวะไม่สะอาด มีกลิ่น
เหม็น น่าเกลียด และปฏิกูล. บทว่า นิกฺขิปิสฺสามิมํ เทหํ ความว่า
เราไม่เพ่งเล็งเพราะไม่ยึดถืออีก จักซัด คือจักทิ้งร่างกาย คือกายที่เปื่อยเน่านี้.
ในคาถานั้น ท่านกล่าวเหตุ ด้วยบทว่า สมฺปชนา ปติสฺสตา.
บทว่า พหูหิ ทุกฺขธมฺเมหิ อธิบายว่า อันความทุกข์ไม่น้อยมีชาติ
และชราเป็นต้นถูกต้องแล้ว. บทว่า อปฺปมาทรตาย ความว่า ยินดีแล้วใน
ความไม่ประมาท กล่าวคือความไม่อยู่ปราศจากสติ เพราะได้ความสลดใจ
ด้วยความเป็นผู้หยั่งลงสู่ทุกข์นั้นนั่นเอง. คำที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วนั้นแล.
ในคาถานี้มีปาฐะโดยทำนองที่พระศาสดาตรัสว่า

ท่านพึงยินดีในความไม่ประมาท จงทอดทิ้ง
กายนี้ จงถึงความสิ้นตัณหา จงปฏิบัติคำสอนของ
พระพุทธเจ้า.

ก็คาถานี้ พระสังคีติกาจารย์ยกขึ้นสู่สังคีติตามทำนองที่พระเถรีกล่าวแล้วนั่นแล.
บทว่า อปฺปมาทรตาย เต ความว่า ท่านพึงเป็นผู้ยินดีแล้วในความไม่
ประมาท.
จบ อรรถกถาอภยาเถรีคาถา

10. สามาเถรีคาถา


[429] เราทำใจให้อยู่ในอำนาจไม่ได้ จึงไม่
ได้ความสงบใจ ต้องเข้าออกจากวิหาร 4 ครั้ง 5 ครั้ง
เรานั้นถอนตัณหาขึ้นแล้วในวันที่ 8 จากวันที่ได้รับ
โอวาทของพระอานนทเถระ เราอันความทุกข์เป็น
อันมากถูกต้องแล้ว ยินดีแล้วในความไม่ประมาท
บรรลุความสิ้นตัณหาแล้ว ได้ปฏิบัติคำสอนของพระ
พุทธเจ้าแล้ว.

จบ สามาเถรีคาถา
จบทุกนิบาต